ท่ามกลางวิถีชีวิตที่เลวร้ายลงไปทุกวัน ชาวไทยเรานั้นก็ยังคงมีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอยู่เต็มไปหมดและหนึ่งในนั้นก็คือพญานาคนั่นเอง พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพที่ผู้คนหันมาให้ความนิยมเคารพบูชากันเป็นอย่างมาก เนื่องจากเชื่อว่าจะให้โชคลาภเงินทอง เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ เมื่อมีคนหนึ่งบูชาแล้วเกิดโชคดีขึ้นมาจึงเกิดการบอกต่อและมีผู้คนหันมาบูชาเป็นจำนวนมาก วันนี้ Lottosod96 จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพดังกล่าวกันว่า พวกเขาเป็นใครมาจากไหน มีตำนานเรื่องเล่าอย่างไรบ้าง
ทำความรู้จักกับพญานาค ตำนานที่ถูกเล่าขานกันแบบรุ่นสู่รุ่น

พญานาคเป็นสิ่งที่เรามักจะเห็นอยู่ตามวัดวาอารามทั้งหลาย และเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะต่างก็เชื่อกันว่าการกราบไหว้บูชา จะสามารถช่วยเพิ่มโชคลาภบารมีและความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตของตนได้ หลายคนอาจทราบดีว่าพวกเขานั้นมีบทบาทในทางพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่งเคยแปลงกายเป็นมนุษย์เพื่อขอบวช แต่เพราะเป็นเดรัจฉานจึงไม่สามารถบวชได้ ดังนั้นจึงครองตนเป็นพุทธมามกะ คอยปกป้องคุ้มครองศาสนามาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงในปัจจุบัน
ในขณะเดียวกัน หลายคนก็คงจะเคยได้ยินในวรรณคดีไทยกันมาบ้างว่า พญานาคนั้นเป็นศัตรูกับพญาครุฑ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ที่มีรูปร่างเป็นนก สามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ ความเชื่อเกี่ยวกับพวกเขานั้นแพร่กระจายไปทั่วทั้งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ ลักษณะรูปร่างภายนอกนั้นจะเหมือนกับงูที่มีขนาดใหญ่โตราวกับเทพ มีหงอนที่หัว ปกติอาศัยอยู่ในเมืองบาดาลแต่ก็สามารถลอยขึ้นไปบนฟ้าได้เช่นเดียวกัน เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ วาสนาบารมี ความยิ่งใหญ่ และยังเป็นสัญลักษณ์สู่จักรวาลอีกด้วย
ลักษณะของพวกเขาในแต่ละภูมิภาคนั้นก็จะแตกต่างกันออกไป แต่ที่เราเห็นได้บ่อย ๆ ก็คือที่เป็นตัวสีเขียวมีเกล็ดสีทอง มีหัวและหางเป็นลายไทยสีทองดูน่าเกรงขาม สวมใส่อาภรณ์บริเวณหน้าอกที่แตกต่างกันออกไป ถูกแบ่งออกเป็นหลากหลายตระกูลตั้งแต่ตระกูลธรรมดาทั่วไปที่มีเพียงแค่เศียรเดียว และตระกูลชั้นสูงที่จะมีตั้งแต่ 3 เศียรขึ้นไปได้จนถึง 9 เศียร เนื่องจากสืบเชื้อสายมาจากพระยาเศษนาคราชหรืออนันตนาคราชนั่นเอง
พูดชื่อไปหลายคนอาจนึกไม่ออกแต่พญานาคนั้น เป็นบัลลังก์ของพระยาวิษณุนารายณ์ปรมนาท ณ เกษียรสมุทรนั่นเอง ผู้คนเชื่อว่าพวกเขานั้นสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์รูปงามได้อีกด้วย ในส่วนของการเป็นเจ้าแห่งนภาและเจ้าแห่งท้องน้ำนั้น ก็ขึ้นอยู่กับพื้นที่แต่ละแห่งว่าผู้คนเชื่อกันอย่างไร

พวกเขาจะสามารถถือกำเนิดออกมาได้ใน 4 ลักษณะประกอบไปด้วย
– โอปปาติกะ ซึ่งเกิดมาแล้วจะโตในทันทีไม่ผ่านวัยเด็กหรือทารกมาก่อน
– สังเสทชะ เป็นรูปแบบการถือกำเนิดมาจากสิ่งหมักหมมหรือเหงื่อไคล
– ชลาพุชะ ถือกำเนิดออกมาจากครรภ์
– อัณฑชะ ถือกำเนิดออกมาจากไข่
ตระกูลของพวกเขาจะถูกแบ่งออกเป็นทั้งหมด 4 ตระกูลใหญ่ประกอบไปด้วย
– ตระกูลวิรูปักษ์ ส่วนใหญ่จะมีร่างกายเป็นสีทองอร่าม
– ตระกูลเอราปถ เป็นตระกูลที่เราเห็นได้บ่อยที่สุดบริเวณหน้าวัดหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์โดยจะมีร่างกายเป็นสีเขียว
– ตระกูลฉัพพยาปุตะ มีร่างกายเป็นสีรุ้ง
– ตระกูลกัณหาโคตรมะ มีร่างกายเป็นสีดำซึ่งสามารถพบเจอได้ค่อนข้างบ่อยเช่นเดียวกัน
พญานาค สิ่งมีชีวิตที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตในลุ่มแม่น้ำโขง

พญานาคเป็นสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพที่เกี่ยวพันกับวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในลุ่มแม่น้ำโขงเป็นอย่างมาก และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมในแถบเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับพวกเขามากเป็นพิเศษ ที่สำคัญในประเทศไทยของเราเอง ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับพวกเขาที่เข้มข้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเหตุการณ์ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 11 ผู้คนมักจะหลั่งไหลไปยังบริเวณริมแม่น้ำเพื่อรับชมปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติอย่างบั้งไฟพญานาคนั่นเอง จนทำให้กลายเป็นการท่องเที่ยวที่ทำให้มีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้าไปในพื้นที่เป็นจำนวนนับล้านเลยทีเดียว

เหตุบั้งไฟพญานาคนั้นเชื่อกันว่า เกิดจากในช่วงวันออกพรรษาพวกเขาที่อาศัยอยู่ตามลุ่มแม่น้ำ รู้สึกยินดีจึงได้มีการจุดบั้งไฟขึ้นฟ้า เพื่อถวายให้กับการเสด็จกลับมาของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวหากชาวนาจะทำพิธีแรกไถนา ก็จะต้องดูวันเดือนปีรวมไปถึงทิศที่จะหันหน้าควายไป โดยจะต้องให้ควายไถนาทวนเกล็ดของพวกเขาอีกด้วย ไม่เช่นนั้นก็จะทำให้เกิดอุปสรรคขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่มีความเชื่อเกี่ยวกับพวกเขาอย่างเช่น วัดป่าคำชะโนด ก็ได้รับความนิยมของผู้ที่เคารพศรัทธา ในการเดินทางไปกราบไหว้บูชาเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วผู้คนที่อยู่บริเวณลุ่มแม่น้ำโขง จะมีความเคารพศรัทธาที่ค่อนข้างเข้มข้น เนื่องจากอยู่ใกล้ชิดในพื้นที่นั่นเอง เช่นเดียวกับในภาคเหนือซึ่งบางพื้นที่ก็ติดกับแม่น้ำโขงเช่นเดียวกัน
มีตำนานสิงหนวัติซึ่งเป็นตำนานเก่าแก่ในภาคเหนือเล่าว่า เมื่อเจ้าเมืองอพยพผู้คนมาจากทางเหนือลงมาทางตอนใต้ เพื่อสร้างอาณาจักรขึ้นมาใหม่ซึ่งเรียกว่า นาคพันธุ์สิงหนวัตินคร (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) ได้มีสิ่งมีชีวิตกึ่งเทพเหล่านี้ แปลงกายมาช่วยชี้บริเวณที่ตั้งของเมืองใหม่ให้ และขอให้เจ้าเมืองตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม เมื่อก็ได้มีการสร้างคูเมืองจนกลายเป็นเมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติในที่สุด หลังจากที่เจ้าเมืองยกทัพไปตีเมืองอื่นและรวมดินแดนเข้าด้วยกันได้สำเร็จ ก็ได้เปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนคร ในช่วงต้นราชวงศ์ของพญามังราย ที่ก่อให้เกิดเป็นอาณาจักรล้านนาในช่วงเวลาต่อมานั่นเอง